วันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ตลาดสลิมมิ่งโต สวนกระแสเศรษฐกิจ



‘บอดีเชพ’ มั่นใจตลาดสลิมมิ่งแรงสวนเศรษฐกิจ


บอดี้เชพ ลุยตลาดสลิมมิ่งปี 52 ใช้งบ 30-40% ของรายได้ ขยายสาขา ซื้ออุปกรณ์ และทำตลาด กระตุ้นรายได้โต 5-10% ไม่หวั่นภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ออกสินค้ากลุ่มอาหารเสริมและผลิตภัณฑ์กระชับสัดส่วนอีก 4-5 ชนิดดันยอดขายเพิ่ม

นายภูพงษ์ สืบวงศ์ลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท บอดี้เชพ คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยกับ “ฐานศรษฐกิจ” ถึงทิศทางการทำตลาดของศูนย์บริการบอดี้เชพในปีหน้าว่า บริษัทจะมีการใช้งบประมาณ 30-40% ของรายได้รวม เพื่อขยายสาขาของศูนย์บริการบอดี้เชพเพิ่มขึ้นอีก 3-4 สาขา จากปัจจุบันที่มีอยู่ 27 สาขา ใช้งบประมาณการลงทุนสาขาละ 15 ล้านบาท การลงทุนเครื่องมืออุปกรณ์การให้บริการ ซึ่งเป็นนวัตกรรมล่าสุดจากประเทศอิตาลีมูลค่า 70 ล้านบาท รวมถึงการทำตลาดสำหรับปีหน้า เพื่อผลักดันให้บริษัทมีการเติบโตเพิ่มขึ้น 5-10% จากรายได้รวมของปีนี้ ที่คาดว่าจะมีรายได้ 500 ล้านบาท

ทั้งนี้ บริษัทยังมองว่าทิศทางธุรกิจของสถาบันลดน้ำหนักหรือตลาดสลิมมิ่ง ที่ตลาดรวมมีมูลค่าประมาณ 2,000 – 3,000 ล้านบาท ยังมีการเติบโตที่ดี แม้ว่าจะมีปัญหาเศรษฐกิจเกิดขึ้นก็ตาม เพราะผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังคงให้ความสำคัญกับเรื่องของรูปร่างและการดูแลบุคลิกภาพของตนเอง ส่วนปัญหาทางการเมืองนั้นยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าในปีหน้าจะเป็นอย่างไร แต่เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจสลิมมิ่งมากนัก

นายภูพงษ์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้บริษัทยังเตรียมที่จะออกสินค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและเครื่องสำอางในการทำทรีตเมนต์ร่างกายประมาณ 4-5 ชนิด เพื่อสร้างรายได้และสร้างการจดจำในแบรนด์ จากปัจจุบันที่มีการทำตลาดกาแฟลดน้ำหนัก (Body Shape Coffee) ที่จะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 16 ธ.ค.นี้ และมีผลิตภัณฑ์สำหรับการทรีตเมนต์ 2 ชนิด ได้แก่ บอดี้เชพปิ้งครีม และบอดี้เฟิร์มมิ่งเจลที่วางจำหน่ายมากว่า 2 เดือนแล้ว

“ผลิตภัณฑ์กาแฟวางจำหน่ายผ่านวัตสัน ท็อปส์ และร้านเซเว่นอีเลฟเว่น รวมถึงการส่งออกไปจำหน่ายยังกลุ่มประเทศยุโรป ตะวันออกกลาง รัสเซีย ญี่ปุ่น และหลายประเทศในเอเชีย ในปีหน้าจะส่งออกไปยังฮ่องกง ไต้หวัน และจีน ซึ่งกาแฟมีออกมาจำหน่ายตั้งแต่ปีที่ผ่านมาแล้ว มีการเติบโตประมาณ 10% ทั้งที่ไม่ได้ทำการตลาดอะไรมากมาย ส่วนผลิตภัณฑ์ทรีตเมนต์ทั้งสองชนิด จัดจำหน่ายผ่านร้านบู๊ทส์และห้างสรรพสินค้าทั่วไป โดยรายได้ของผลิตภัณฑ์ทั้งหมดคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 15% ของรายได้”

สำหรับภาพรวมของธุรกิจในปีนี้ บริษัทยังดำเนินธุรกิจได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยน่าจะมีรายได้ 500 ล้านบาท หรือมีการเติบโต 5-7% จากปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลจากการที่บริษัทใช้งบประมาณ 200 ล้านบาท ในการจัดกิจกรรมการตลาดอย่างต่อเนื่อง ทั้งอีเวนต์ การใช้สื่อโฆษณาที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย และมีโปรโมชันออกมาทำตลาดเพื่อเพิ่มกลุ่มลูกค้าใหม่ รวมถึงมีการวิจัยและพัฒนาโปรแกรมการให้บริการรูปแบบใหม่ๆ ออกมาอย่างสม่ำเสมอด้วย


“ในปีนี้มีกลุ่มลูกค้าใหม่เข้ามากว่า 5,000 คน จากจำนวนลูกค้าเก่าที่มาใช้บริการรวมกว่า 10,000 ราย ปีนี้ยอดการใช้จ่ายต่อคนเฉลี่ยอยู่ 50,000 – 60,000 บาท ซึ่งถือว่าลดต่ำลงจากปีที่ผ่านมา 10-15% แต่มีจำนวนผู้มาใช้บริการเพิ่มมากขึ้น ทำให้บริษัทยังรักษาการเติบโตไว้ได้” นายภูพงษ์ กล่าวในตอนท้าย

ที่มา ฐานเศรษฐกิจ 14 ธันวาคม 2551

1 ความคิดเห็น: